lafcadio




แ ล ฟ ค า ดิ โอ
กับบางเหตุผล . . .
ที่สิงโตไม่อยากเป็นสิงโต
....
.................

หนังสือเล่มนี้ซื่อ ใส น่ารัก เหตุผลหนึ่งที่เลือกแปลเพราะอยากให้บรรดาผู้ใหญ่ตัวเล็กอันเป็นที่รักของครอบครัวเราอย่างหลานชายหลานสาวทั้งหลาย ได้มีโอกาสอ่านหนังสือดีๆ ที่อ่านสนุกเพลิดเพลินได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่
...........
อันที่จริงหนังสือเล่มนี้แปลเป็นภาษาไทยได้ยาก เนื่องจากผู้เขียนมีการเล่นคำพ้องรูปพ้องเสียงมากมาย บางคำจึงตั้งใจคงภาษาต้นฉบับเอาไว้เพื่อรสชาติในการอ่านเป็นสำคัญ
......
สำหรับคนที่เคยผ่านตาต้นฉบับภาษาอังกฤษมาก่อน อาจจะแปลกใจอยู่บ้างกับชื่อภาษาไทย “แลฟคาดิโอ-สิงโตอยากเป็นคน” ซึ่งทางสำนักพิมพ์มติชนตัดสินใจเลือกชื่อนี้ หลังจากร่วมค้นหาและร่วม "โหวต" กันอยู่พักใหญ่
หลังจากร่วมค้นหาและ“โหวต”กันอยู่พักใหญ่
...................
....

[รายละเอียดหนังสือจากเว็บไซต์สำนักพิมพ์มติชน]
สิงโตอยากเป็นคน
(Lafcadio,THE LION WHO SHOT BACK)
นิทานสมัยใหม่เปี่ยมเชาวน์ปัญญา และเล่าได้อย่างสนุกเหลือแสน
ผู้แต่ง : เชล ซิลเวอร์สไตน์
ผู้แปล : 'ปราย พันแสง
จัดพิมพ์โดย : สนพ.มติชน
เว็บไซต์มติชน ลด 15 % จากราคาปก
...
แลฟคาดิโอ สิงโตอยากเป็นคน เป็นเรื่องราวการผจญภัยของสิงโตช่างสงสัยตัวหนึ่ง เริ่มขึ้นในวันแดดสดใส สิงโตทั้งฝูงกำลังนอนอาบแดดกันอย่างมีความสุข เมื่อเสียงปืนของนายพรานดังขึ้น สิงโตทั้งหนุ่มและแก่ต่างรีบวิ่งหนี แต่มีแลฟคาดิโอสิงโตพิเศษตัวนี้ตัวเดียว ที่ไม่วิ่งหนี มันอยู่รอพบนายพราน เพราะไม่เคยเห็นนายพรานมาก่อน แต่เมื่อพบกัน นายพรานกลับจะยิงมันให้ได้ แม้มันจะยกมือยอมแพ้แล้วก็ตาม ในที่สุดแลฟคาดิโอจึงจำต้องมันจึงกินนายพรานกับหมวกแก๊ปปุกปุยนั้นเสียและเก็บปืนไว้เป็นที่ระลึก

...
แลฟคาดิโอพยายามหัดยิงปืน จนกลายเป็นสิงโตที่ยิงปืนแม่นที่สุดในโลก เจ้าของละครสัตว์จึงชวนไปร่วมในคณะ แลฟคาดิโอกลายเป็นสิงโตที่มีชื่อเสียงโด่งดังแลและเริ่มใช้ชีวิตเหมือนมนุษย์ แต่มันก็พบว่า แม้จะร่ำรวยและมีชื่อเสียง แต่มันก็ไม่อาจพบกับความสุขที่แท้จริงได้ เจ้าของคณะละครสัตว์จึงตกลงพามันไปหา "อะไรใหม่ๆ " ทำที่แอฟริกาซึ่งก็คือการล่าสิงโต!
...

ที่แอฟริกา แลฟคาดิโอมีโอกาสได้พบกับสิงโตแก่ ที่เตือนสติมันว่า ครั้งหนึ่งมันเคยเป็นสิงโต แลฟคาดิโอจึงต้องคิดหนักว่าจะกลับไปใช้ชีวิตเยี่ยงสิงโตแบบที่มันเคยเป็น หรือจะกลับไปอยู่ร่วมกับมนุษย์อีกครั้ง
..
และแล้วการตัดสินใจครั้งสำคัญจึงเกิดขึ้น
..............
....
ใ......

แม้ว่างานจะลุล่วงแล้ว แต่ฉันยังมีหลายชื่อหลายนิยามเกี่ยวกับ “แลฟคาดิโอ” ที่ยังติดค้างอยู่ในใจ ไม่ว่าจะเป็น แลฟคาดิโอ-สิงโตอารมณ์ดี,แลฟคาดิโอ-สิงโตปืนป่วน,แลฟคาดิโอ-สิงโตก็มีหัวใจ
...
แต่ละชื่อแต่ละนิยามที่ปรากฏมาข้างต้น ก็พูดได้เต็มปากเลยว่าแทบไม่มีสักชื่อที่สามารถอธิบายหรือจำกัดความเกี่ยวกับแลฟคาดิโอได้อย่างหมดจดจริงแท้แม้แต่ชื่อเดียว
...
นั่นอาจเป็นเพราะว่า เชล ซิลเวอร์สไตน์ สร้างสรรค์บุคลิกตัวตนของแลฟคาดิโอออกมาได้อย่างโดดเด่นเป็นพิเศษมาก นอกเหนือจากเรื่องราวสนุกสนานที่เด็กๆ อ่านเองก็สนุก หรือผู้ใหญ่จะอ่านเล่าออกเสียงดังๆ ให้ฟัง เด็กเล็กทั้งหลายก็คงฟังอย่างชอบใจไม่แพ้กันแล้ว
....
ภาพประกอบเรื่องก็ยังสวยงาม เรียบง่าย คล้ายผู้วาดตวัดมือไม่กี่ครั้ง ใช้เส้นสายไม่กี่เส้น แต่กลับหนักแน่น มีพลัง มีชีวิตชีวา น่ารักและตลกที่สุด เพียงแค่พลิกหน้ากระดาษ ได้เห็นหน้าตาท่าทางของแลฟคาดิโอเปลี่ยนไปเรื่อยๆ หลายคนก็คงยิ้มได้แล้ว
...
นอกจากนี้ยังมีของฝากสำหรับผู้ใหญ่คิดมากติดมาด้วย อาจจะเป็นผลพวงมาจากหนังสือเล่มดังของผู้เขียนคนเดียวกัน อย่าง The Missing Piece ที่เคยแตะตรึงใจนักอ่านนักแสวงหามาแล้วทั่วโลก
....
มาถึง Lafcadio เล่มนี้ ฉันคิดว่าผู้เขียนยังเพียรพยายามจะสร้างตัวละครหลักของเรื่องให้หลุดพ้นจากกรอบพิมพ์นิยมของสังคมหรือ stereotype นานาประดามี
...
ดังเราจะได้เห็นว่าเจ้าแลฟคาดิโอสิงโตผู้น่ารักของเรานั้น ไปไกลถึงขนาดว่าไม่มีสิ่งใดในโลกนี้จะมาพันธนาการจิตใจของเขาได้เลยแม้แต่น้อย
...
แลฟคาดิโอเกิดมาเป็นสิงโตก็จริง แต่การใช้ชีวิตตามแบบฉบับของสิงโตที่แท้ก็ไม่อาจจะครอบงำเขาได้ตลอดไป
.....
เชล ซิลเวอร์สไตน์ สร้างสรรค์ชีวิตจิตใจของแลฟคาดิโอออกมาได้สดใหม่ใสซื่อ
....
เขานำเสนอแลฟคาดิโอให้ลงมือทำสิ่งต่างๆด้วยจิตใจที่เปิดกว้าง พร้อมจะลองผิดลองถูก พร้อมตั้งใจ,ยอมรับและเรียนรู้สิ่งต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตโดยปราศจากเล่ห์เหลี่ยมหรืออคติใดๆ
...
แม้ว่าวิถีชีวิตแบบสิงโตอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เขาปรารถนา ในขณะที่วิถีชีวิตแบบมนุษย์ก็อาจจะไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการอย่างจริงแท้
...
“แลฟคาดิโอ” จึงเป็น “แลฟคาดิโอ”
ที่ไม่อาจหานิยามหรือคำจำกัดใดมาอธิบายได้หมดจดแท้จริงก็ด้วยเหตุนี้
...
ไม่ว่าแลฟคาดิโอหรือเรา
คงไม่มีทางรู้หรอกว่าจุดหมายปลายทางแห่งการแสวงหานั้นจะลงเอยเช่นใด
แต่นั่นไม่สำคัญเลย ช่วงเวลาที่หัวใจเต้นแรงต่างหากที่สำคัญกว่า
...
ดังเช่น จิมมี่ เลี่ยว นักเขียนนิยายภาพชาวไต้หวัน
เคยกล่าวเอาไว้ในหนังสือของเขาว่า
การ“ตามหา” หรือ “ถูกลืม”นั้น
แม้จะมีบทสุดท้ายเฉกเช่นเดียวกัน .
แต่ในการแสวงหา เราอาจเจอสวนงดงามอย่างที่ไม่คาดคิด
ได้มองเห็นดวงดาวเต็มท้องฟ้า
แม้สุดท้ายจะไม่มีใครได้อะไรกลับไป
แต่ช่วงเวลาที่หัวใจสั่นไหวเพราะความรู้สึกนั้น
จะเปล่งแสงเป็นประกายวิบวับอยู่ตลอดกาล






................


ตัวอย่างบางตอนในเล่ม






เอาล่ะ เด็กๆ ทั้งหลาย
ต่อไปนี้ลุงเชลบี้ของหนู
กำลังจะเล่าเรื่องสิงโตประหลาดตัวหนึ่งให้ฟังนะ
ถ้าจะว่าไปแล้วล่ะก็
นี่คือสิงโตพิลึกที่สุดเท่าที่ลุงเคยเจอมาทีเดียว
แล้วลุงจะเริ่มเรื่องตรงหัวหรือตรงหางสิงโตดีล่ะ?
.....
เปล่าหรอก เปล่า…
ลุงหมายถึงว่าจะเริ่มเล่าเรื่องสิงโตตัวนี้ต่างหาก
ลุงเล่าเลยก็แล้วกันนะว่า
ครั้งแรกลุงเจอสิงโตตัวนี้ที่ชิคาโก
ในวันศุกร์ที่ 17 ธันวาคม
ลุงจำได้ติดตาติดใจ
เพราะวันนั้นหิมะเริ่มละลาย
รถราบนถนนดอร์เชสเตอร์ก็ติดมโหฬาร
สิงโตตัวนี้กำลังหาร้านตัดผม…
ขณะที่ลุงเองก็เพิ่งกลับจาก...
เอ้อ…กำลังเดินทางกลับบ้าน
........

เปล่าหรอก ลุงคิดว่าลุงควรจะเริ่มด้วยการเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้อีกสักหน่อย ลุงคิดว่า ลุงควรจะเล่าเรื่องสิงโตตัวนี้ให้หนูๆ ฟัง ตั้งแต่สมัยสิงโตเขายังหนุ่มยังแน่นโน่นแน่ะ…ตกลงไหม



LAFCADIO

บทที่ 1.



.............
กาลครั้งหนึ่งนั้นยังมีสิงโตหนุ่มตัวหนึ่งชื่อว่า...เอ...จริงๆ แล้วลุงไม่ทราบชื่อเขาหรอก เนื่องจากว่าสิงโตตัวนี้ก็อาศัยอยู่ในป่ากับสิงโตตัวอื่นๆ อีกหลายตัว และถ้าเขามีชื่อจริงๆ ละก็ จะต้องไม่ใช่ชื่อ “โจ” หรือ “เออร์นี่” หรืออะไรทำนองนี้ ไม่หรอก สิงโตหลายตัวมีชื่อประมาณว่า อ้อ…บางทีอาจจะเป็นชื่อแบบ “โกรกราฟ” หรือ “รักเกอร์ก” หรือ “เกิร์มเมิร์ฟฟ์” หรือไม่ก็ “ เกอรรรรร”

อย่างไรก็ตามที สิงโตตัวนี้ก็มีชื่อประมาณนั้นละ เขาอาศัยอยู่ในป่าเหมือนกับสิงโตอื่นอีกหลายตัว แต่ละวันก็ใช้ชีวิตเหมือนสิงโตทั่วไปที่ชอบกระโดด ชอบเล่นอยู่ในทุ่งหญ้า ว่ายน้ำในแม่น้ำ จับกระต่ายกิน หรือไม่ก็วิ่งไล่จับสิงโตตัวอื่น แล้วก็นอนหลับกลางแดดอย่างมีความสุขมาก


จนกระทั่งวันหนึ่ง ลุงคิดว่ามันเป็นวันพฤหัสบดี หลังจากที่บรรดาสิงโตทั้งหลายกินอาหารกลางวันกันเสร็จเรียบร้อย ต่างก็พากันนอนผึ่งพุงหลับกลางแดด กรนแข่งกันดังสนั่น ท้องฟ้าเป็นสีฟ้า พวกนกกาก็บินร่อนไปมา ส่งเสียงร้องเจื้อยแจ้ว ต้นหญ้าก็ส่ายไหวอยู่ในสายลม บรรยากาศมันดูเงียบสงบดี แล้วทันใดนั้นก็…

บึม!

เกิดเสียงดังสนั่น สิงโตทุกตัวสะดุ้งตื่น แล้วกระโดดโหยงตัวลอยในอากาศ แล้วพวกเขาต่างเผ่นโกยแน่บ กุ้บกั้บ กั้บ กั้บ กุ้บกุ้บ เอ…หรือว่านี่เป็นเสียงม้าวิ่งหรือเปล่า? พวกเขาก็วิ่งกันเหมือนสิงโตวิ่งกันนั่นละ ลุงก็บอกไม่ถูกหรอกว่าเขาวิ่งกันยังไง อาจจะวิ่งแบบฟิบแฟตหรืออะไรทำนองนั้น เอาเป็นว่า สิงโตทุกตัววิ่งหนีหมด เอ...บางทีต้องบอกว่า “สิงโตเกือบทุกตัว” ต่างหากที่พากันวิ่งหนีเสียงนั้น

มีเพียงสิงโตตัวหนึ่งที่ไม่ยอมวิ่ง
แล้วมันก็เป็นสิงโตตัวเดียวที่ทำเช่นนั้น ลุงกำลังจะเล่าให้พวกหนูฟังนี่ไง


ว่า สิงโตตัวนี้ได้ยินเสียง บึ้ม! แล้วไม่ได้วิ่งหนี เขาแค่ลุกนั่ง แล้วกะพริบตาปริบๆ กลางแดด จากนั้นจึงเหยียดแขนออก เอ...บางทีอาจจะต้องเรียกว่าเหยียดอุ้งเล็บมากกว่า เจ้าสิงโตขยี้ตางัวเงียตื่นขึ้นมาแล้วก็ถามว่า “เฮ้…แล้วทำไมต้องวิ่งหนีกันหมดอย่างนั้นล่ะ”

สิงโตแก่ที่กำลังวิ่งมาร้องบอกว่า “วิ่งเร็วเจ้าหนู วิ่ง วิ่ง วิ่ง วิ่ง นายพรานกำลังมาทางนี้แล้ว”

“นายพราน นายพราน นายพรานคืออะไรกัน” สิงโตหนุ่มรำพึง พร้อมกับกะพริบตาปริบๆ กลางแดด


“นี่แน่ะ” สิงโตชราตอบ “หยุดถามเรื่อยเปื่อยเสียที ถ้ารู้ว่าอะไรดีสำหรับตัวแกเอง ก็จงวิ่งไปเสียเท่านั้น”

สิงโตหนุ่มลุกขึ้นเหยียดแข้งขา แล้วก็เริ่มต้นวิ่งไปกับสิงโตตัวอื่นๆ อาจจะวิ่งแบบฟิบแฟตหรือ หรือจะเป็นกิ๊บก๊อบทำนองนั้น ลุงคิดว่าก่อนหน้านี้เราเคยพูดถึงเรื่องนี้กันหมดแล้วนะ


หลังจากวิ่งโกยแน่บตามๆ เขามาพักหนึ่ง เจ้าสิงโตก็หยุดแล้วมองย้อนกลับไปข้างหลัง “นายพราน” เขาพูดกับตัวเอง “แปลกใจจังเลย…นายพรานนี่เป็นอย่างไรกันนะ”

เจ้าสิงโตพูดคำว่า “นายพราน” กับตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า “นายพราน นายพราน” หนูก็รู้ใช่ไหมว่า จะมีคนบางประเภทชื่นชอบในน้ำเสียงสำเนียงของถ้อยคำแบบนี้อยู่ พวกเขาชอบสำเนียงของคำอย่าง “ทัสคาลูสซ่า” หรือ “แทปิโอคา” หรือไม่ก็ “คาริโอคา” หรือ “กัมโบ” เจ้าสิงโตก็ชอบสำเนียงของคำว่า “นายพราน” แบบนั้นละ



หลังจากปล่อยให้บรรดาเพื่อนสิงโตวิ่งหนีล่วงหน้าไปหมด เจ้าสิงโตหนุ่มก็หยุดวิ่ง แล้วซ่อนตัวอยู่ในพงหญ้า ไม่นานนักเขาก็ได้เห็นเหล่า “นายพราน” ทั้งหลายปรากฏตัว พวกนายพรานเหล่านั้นสวมหมวกแก๊ปสีแดงใบเล็กๆ น่ารัก และยืนด้วยขาหลังกันทุกคน นอกจากนี้ทั้งหมดยังพากันถือท่อนไม้ตลกๆ ซึ่งทำให้เกิดเสียงดังสนั่นอยู่ในมือเหมือนกันทุกคนด้วย

เจ้าสิงโตหนุ่มชอบภาพที่เขาได้เห็นเป็นยิ่งนัก

แน่นอน เขาแค่ชอบภาพที่เห็น กระทั่งเมื่อนายพรานคนที่มีตาสีเขียวและฟันหลอซี่หนึ่งเดินพ้นพงหญ้าสูงด้านหน้ามาพร้อมกับหมวกแดงตลกๆ ของเขา (ซึ่งดูเหมือนจะเปื้อนคราลไข่จากสลัดอยู่อีกต่างหาก) เจ้าสิงโตหนุ่มก็ลุกยืนขึ้น


“สวัสดี นายพราน”
“ดีสวรรค์วิมานอะไรละนี่” นายพรานร้องลั่น “เจ้าสิงโตผู้ดุร้าย สิงโตอันตราย สิงโตจอมคำราม จอมกระหายเลือด สิงโตกินคน”

“ฉันไม่ใช่สิงโตกินคนหรอก” เจ้าสิงโตตอบพราน “ฉันกินพวกกระต่าย และก็ลูกแบล็กเบอร์รี่”
“ไม่ต้องเลย” นายพรานตอบ “ยังไงฉันก็ต้องยิงแกอยู่ดี”
“แต่ฉันยอมแพ้แล้วนี่ไง” เจ้าสิงโตหนุ่มตอบพร้อมกับชูอุ้งเท้าหน้าของตนขึ้น


“อย่าโง่ไปหน่อยเลย” นายพรานว่า “ใครบ้างเคยได้ยินว่าสิงโตยกมือยอมแพ้ สิงโตต้องไม่แพ้ สิงโตจะต้องต่อสู้จนกระทั่งนาทีสุดท้าย สิงโตกินนายพราน! นี่ไง ฉันต้องยิงแกเสียเดี๋ยวนี้ ฉันจะทำแกให้กลายเป็นพรมชั้นดี แล้วเอาไปปูหน้าเตาผิงของฉัน ยามเย็นย่ำของฤดูหนาว ฉันก็จะนั่งทับบนตัวแก แล้วก็ปิ้งขนมมาร์ชเมลโล”

“แหม…ฟังดูแล้วฉันก็ดูมีประโยชน์ดีเหมือนกันนะนั่น, แต่ท่านไม่เห็นจะต้องยิงฉันนะ” สิงโตหนุ่มกล่าว “ฉันจะเป็นพรมของท่าน ฉันจะทอดกายอยู่หน้าเตาผิงของท่าน ฉันจะไม่ขยับตัวไปไหน ท่านจะสามารถนั่งลงบนตัวฉัน แล้วปิ้งขนมมาร์ชเมลโลได้มากเท่าที่ต้องการเลย ฉันชอบขนมมาร์ชเมลโล”


“แกว่าอะไรนะ” นายพรานพูด

“อืมม์” สิงโตกล่าว “ด้วยความสัตย์จริงเลยนะท่าน ฉันไม่รู้ว่า จริงๆ แล้วฉันชอบขนมมาร์ชเมลโลหรือเปล่า เพราะว่าฉันยังไม่เคยชิมเลยสักชิ้น แต่ว่าฉันชอบเกือบทุกอย่างนั่นแหละ ชอบเสียงของคำว่ามาร์ชเมลโล แล้วถ้ารถชาติของมันดีเหมือนเสียง...มมมมมมมมมมมมมมม ฉันก็แค่รู้เท่านั้นว่าฉันจะรักมัน”

“น่าหัวเราะอะไรเช่นนั้น” นายพรานพูด “ฉันไม่เคยได้ยินว่าจะมีสิงโตตัวไหนยอมแพ้ ฉันไม่เคยได้ยินว่ามีสิงโตที่ชอบกินขนมมาร์ชเมลโล ฉันกำลังจะยิงแกเดี๋ยวนี้แหละ และก็คงจบกันแค่นี้” แล้วนายพรานก็ยกท่อนไม้ตลกๆ อันนั้นขึ้นพาดบ่า



“ทำไมล่ะ” สิงโตหนุ่มงงๆ

“ทำไมน่ะหรือ ก็เพราะฉันเป็นพรานไง” นายพรานพูด และเขาก็เหนี่ยวไก ปรากฏว่ามีเสียงดังกริ๊ก

“นั่นเสียงอะไรน่ะ” สิงโตหนุ่มถาม “ฉันโดนยิงหรือยังนี่”

หนูคงพอนึกออกนะว่า นายพรานแสนจะอับอายแค่ไหน ใบหน้านายพรานแดงก่ำพอๆ กับหมวกที่สวมอยู่นั่นเชียว


“ฉันคิดว่าฉันลืมบรรจุกระสุน” นายพรานกล่าว “มันเป็นเรื่องตลกเสียจริง ฮ่า ฮ่า แต่ถ้าแกให้เวลาฉันสักนิด ฉันจะรีบบรรจุกระสุน แล้วเราจะได้ยิงต่อ”

“ไม่มีทาง” สิงโตหนุ่มกล่าว “ฉันไม่คิดว่าจะให้ท่านทำเช่นนั้นได้ ฉันไม่คิดว่าฉันจะยินยอมให้เวลาท่านบรรจุกระสุนได้ ฉันไม่คิดว่าตัวเองจะอยากเป็นพรมของท่านสักเท่าไหร่ และนอกจากนี้ฉันก็ไม่คิดว่าท่านจะเป็นนายพรานที่น่ารักเท่าไหร่ด้วย ฉันคิดว่าฉันจะจับท่านกินเดี๋ยวนี้แหละ”

“ทำไมล่ะ” นายพรานโอด
“ทำไมน่ะหรือ ก็เพราะฉันเป็นสิงโต”
สิงโตกล่าวแล้วก็ทำดังว่า


หลังจากจับนายพรานกินเสร็จเรียบร้อยแล้ว เจ้าสิงโตก็กินหมวกแก๊ปของนายพรานตามไปด้วย รสชาติมันปุกปุยดี และหลังจากกินหมวกแก๊ปแดงแล้ว (ฟังแล้วหนูๆ นึกอยากกินหมวกแดงขึ้นมาบ้างไหมล่ะ) เจ้าสิงโตก็พยายามจะกินท่อนไม้ตลกๆ ท่อนนั้นกับกระสุนปืนเข้าไปด้วย แต่ปรากฏว่ามันเคี้ยวไม่ได้ เจ้าสิงโตเลยบอกกับตัวเองว่า “อืมม์ ฉันคิดว่า ฉันจะเก็บไว้เป็นที่ระลึกดีกว่า” ว่าแล้วเจ้าสิงโตก็คาบปืนเดินกลับไปหาสิงโตตัวอื่นๆ