วันใบไม้ร่วงของคนไกลบ้าน
อารยา ราษฎร์จำเริญสุข
เซ็กซี่
ด้วยเรื่องราวหลากมิติอารมณ์
วันใบไม้ร่วงของคนไกลบ้าน ,บันทึกผู้หญิงตะวันออก ,
บางส่วนจากในเล่ม
อังศุเดินได้เรื่อยๆ หลังเลิกเรียนหอบตำราใส่กระเป๋าใบโต เดินผ่านบ้านสวยชะเง้อดูดอกไม้ที่หน้าต่างกับม่านขาวและรั้วเล็กๆ มีไม้เถาพันเลื้อยอ่อนไหว เข้าไปในย่านการค้าจดอยู่ในร้านหนังสือ ไปโบสถ์เก่า ดูหมา ดูคน กระทั่งยืนดูขนมปังแบบต่างๆ ในตู้ ละเลียดให้ครบทุกก้อนอย่างกับคนหิว หากอังศุหิวที่ใจ
หนุ่มผมทองกับหนังสือเล่มเล็กบางในมือ รอบๆ ตัวมีแต่ความเวิ้งว้าง ของสนามกว้าง
ฝนปรอยเป็นละอองฝอยขาวมัว
เหมือนความเหงาค่อยๆ แต่โอบคลุมช้าๆ อ่อนโยนแต่เจ็บร้าวนัก
'ปราย พันแสง : คำนิยมชมชื่น
“อารยา ราษฎร์จำเริญสุข เป็นนักเขียนในดวงใจฉันเสมอมา แม้ว่าในระยะหลังนี้ เธอไม่ได้มีผลงานรวมเรื่องสั้นเอ็กซ์โซติกเพริดแพร้วเรื่องใหม่ๆ มาให้อ่านกันเลย”
หลายปีก่อน ฉันมีโอกาสสัมภาษณ์อาจารย์อารยา ราษฎร์จำเริญสุข เป็นครั้งแรกที่หอศิลป์เจ้าฟ้า บทสัมภาษณ์ลงตีพิมพ์ในนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ ผองพี่และเพื่อนฝูงที่ได้อ่านหลายคนพากันหลงรักเธอ ครั้งนั้น เธอบอกฉันเกี่ยวกับที่มาในการจัดแสดงศิลปะของเธอว่า “มันน่าจะมีประโยชน์กว่าเอาเงินไปซื้อ eye cream แพงๆ”
ตอนนั้นฟังแล้วเกือบตกเก้าอี้ โอ้โฮเฮะ ผู้หญิงคนนี้
แม้จดจำรายละเอียดส่วนใหญ่ในการสนทนาครั้งนั้นไม่ได้แล้ว แต่ฉันไม่เคยลืมถ้อยคำนี้ อารยา ราษฎร์จำเริญสุข เป็นนักเขียนในดวงใจฉันเสมอมา แม้ว่าในระยะหลังนี้ เธอไม่ได้มีผลงานรวมเรื่องสั้นเอ็กซ์โซติกเพริดแพร้วเรื่องใหม่ๆ มาให้อ่านกันเลย แต่ล่าสุด บทความตัวผู้ตัวเมียโหดมันฮาเกี่ยวกับแวดวงศิลปะที่เธอเขียนลงเป็นตอนๆ ในนิตยสารก่อนจะรวมเล่ม “ผมเป็นศิลปิน” พ็อคเก็ตบุ๊คเล่มโตๆ ของสำนักพิมพ์มติชน ก็ไม่ทำให้ผิดหวังเลยสักนิด งานเขียนชุดนี้ของเธอทำให้ฉันได้หัวเราะดังๆ แทบทุกบททุกตอน
ดังนั้นเอง ในปี 2550 เมื่อทีมงานนิตยสารฟรีฟอร์มขอนัดสัมภาษณ์เธอก่อนพิธีเปิดนิทรรศการที่แกลเลอรี่ในกรุงเทพฯ ฉันจึงไม่รอช้าที่จะร่วมขบวนเฮโลสาระพาไปกับเขาด้วย
ในวัยวันนี้ ดูไม่ออกเลยว่าใบหน้าของเธอแต่งแต้มเครื่องสำอางเอาไว้บ้างหรือไม่ แค่ไหน รู้แต่ว่าเธอเกลี้ยงเกลา เป็นธรรมชาติ สดชื่น ร่าเริง สดใส ดูอ่อนกว่าวัย อารมณ์ดี มีอารมณ์ขันแพรวพราว ยากจะจับได้ไล่ทัน จนฉันไม่อยากเชื่อเลยว่าในหลายปีมานี้ เธอใช้ชีวิตหมกมุ่นอยู่กับสีดำและความตายมาอย่างหนัก
ผลงานศิลปะของเธอหนักหน่วง รุนแรงและถึงเลือดถึงเนื้ออย่างต่อเนื่อง งานชุดดินเนอร์กับมะเร็งของเธอเมื่อหลายปีก่อนที่มีแค่เตียงคนป่วยกับน้ำเลือดน้ำเหลือง ก็แทบทำให้ผู้หญิงจิตอ่อน กลัวผีขึ้นสมองอย่างฉันเกือบช็อคตายมาแล้ว กับผลงานศิลปะที่แสดงด้วยศพจริงของเธอครั้งหลังสุดนี้ ก็เคยทำให้ชายไทยอกสามศอกอย่างทีมงานฟรีฟอร์มได้สะดุ้งเฮือกเกือบเสียฟอร์มไปด้วยเช่นกัน
ด้วยผลงานศิลปะที่แสดงออกมาอย่างรุนแรงหนักหน่วง แต่บุคลิกตัวตนจริงของเธอกับดูปลอดโปร่งเบาสบาย ในสายตาฉันเธอไม่ได้แบกโลก ไม่ได้แบกอะไรไว้ ไม่มีร่องรอยความหม่นเศร้า ไม่มีร่องรอยความโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงาล้ำลึกแต่อย่างใด สิ่งที่เห็นทำให้ฉันแปลกใจ การที่คนบางคนอุทิศชีวิตให้กับศิลปะ ความเศร้าและความตายมายาวนานขนาดนี้ มันดีกับชีวิตของเธอถึงเพียงนี้เชียวหรือ ความสดใสของเธอทำให้ฉันนึกถึงใบหน้าอิ่มเอิบด้วยบุญกุศลของนักบวชผู้เคร่งครัดกับวิถีสมณเพศอย่างน่านับถือ…ไม่ต่างกันเลย
เมื่อสัมภาษณ์เสร็จ อะไรบางอย่างทำให้ฉันตัดสินใจเดินไปดูผลงานของเธอที่จัดแสดงไว้ในแกลเลอรี่อีกรอบ แม้จะไม่แน่ใจนักว่าเข้าใจหรือเข้าถึงสีมืดมัวหม่นที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าแค่ไหน แต่ความคิดบางอย่างก็วาบเข้ามาในหัว
เป็นไปได้ไหมว่า อารยา ราษฎร์จำเริญสุข ก็ไม่ต่างอะไรกับนักบวช ที่จาริกแสวงหาสัจจะแห่งชีวิตด้วยการทำงานศิลปะ เธอโดดเดี่ยวตัวเองด้วยการกระโดดหนีวัฎสงสาร หรือโลกียสุขแบบมนุษย์มนาทั้งหลาย จนเข้าถึงแก่นแท้แห่งสัจจะนั้นด้วยตัวเองในที่สุด การแสดงศิลปะทั่วโลกของเธอยามนี้ มันก็คือการเผยแผ่ลัทธิหรือพิธีกรรมบางอย่าง เพื่อให้เพื่อนร่วมโลกที่เหลือได้เข้าถึงความสุขที่แท้จริงเช่นนั้นบ้าง – ใช่ไหม!
ในโลกที่ผู้คนแย่งยื้อกอบโกยวัตถุกันอย่างบ้าคลั่ง หลายคนห่อหุ้มตัวเองเอาไว้ด้วยกิเลสอย่างหนา ที่พยายามปรุงแต่งขึ้นมาพอกอำพรางความโง่เขลาอ่อนแอของตัวเอง จนเป็นเหมือนดักแด้ที่ไม่มีวันดิ้นหลุดจากรังใย จนในที่สุด ก็ต้องแห้งฝ่ออับเฉาตายไปอย่างไม่เคยรู้เท่าทันต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใด
ในขณะที่ใครบางคนในโลกเรา พยายามสลัดรูป รส กลิ่น เสียง หรือกิเลสหนาเตอะเหล่านั้น ออกจากชีวิตตัวเองทีละชั้น ทีละชั้น จนกระทั่งวันหนึ่งมาถึง ใครคนหนึ่งคนนั้นก็ได้สัมผัสถึงความสุขที่แท้จริงของชีวิต สมควรมมุ่งมาดปรารถนา
นั่นใช่ไหมคือผู้หญิงที่ชื่อ อารยา ราษฎร์จำเริญสุข