.....
หนังสือออกใหม่
坊っちゃん
夏目 漱石
ต้นส้ม น้ำตา พายุ
นัทสึเมะ โซเซกิ
กันฐพงศ์ เจียวก๊ก : แปล
夏目 漱石
ต้นส้ม น้ำตา พายุ
นัทสึเมะ โซเซกิ
กันฐพงศ์ เจียวก๊ก : แปล
....
ห้ามอ่านในที่สาธารณะ
เพราะคุณอาจจะต้องหัวเราะทั้งน้ำตา
"นี่คือการผจญภัย ของคุณหนูจอมซ่าส์ คุณย่าโพสิทีฟ
สารพัดวีรกรรม เฉิ่มเบ๊อะแต่โคตรจริงใจ
ของเอกบุรุษสุดเพี้ยน ผู้ไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใคร
แล้วคุณจะรักนิยายเรื่องนี้ ...เหมือนฉัน"
'ปราย พันแสง
(คำนิยมชมชื่น)
....
จากปกหลัง : นวนิยายญี่ปุ่นชั้นเลิศที่ได้รับการกล่าวขวัญไปทั่วโลก ผลงานมาสเตอร์พีซของนัทสิเมะ โซเซกิ นักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ ด้วยเรื่องราวใสซื่อ โหด มันส์ ฮากระจาย
จากปกหลัง : นวนิยายญี่ปุ่นชั้นเลิศที่ได้รับการกล่าวขวัญไปทั่วโลก ผลงานมาสเตอร์พีซของนัทสิเมะ โซเซกิ นักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ ด้วยเรื่องราวใสซื่อ โหด มันส์ ฮากระจาย
....
การผจญภัยในโลกมนุษย์บิดๆ เบี้ยวๆ ของคุณหนูขี้วีน จอมเพี้ยน ลูกผู้ดีเก่า ตกกระป๋องและตกกระไดพลอยโจนไปอยู่ในโรงเรียนบ้านนอกคอกนา จึงต้องลุยดะถ้วนหน้า ตั้งแต่อาจารย์ใหญ่ คณะครู นักเรียน ยันนักการภารโรงล้วนแสบซ่าส์ โดยมีคุณย่าโพสิทีฟเป็นแบคอัพ
....
เนื่องเพราะคนบางคนแปลว่าตัวแสบ ในขณะที่บางคนรักเกียรติเหนือสิ่งอื่นใด เรื่องจึงบานปลายพิลึกพิลั่น แสบๆ คันๆ จอยๆ จี๊ดๆ แบบตัดขั้วหัวใจ กับวีรกรรมเฉิ่มเบ๊อะแต่โคตรจริงใจ ในการพิทักษ์ความดี กอบกู้ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ของเอกบุรุษสุดเพี้ยน ผู้ไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใคร แต่อาจจะทำให้คุณหัวเราะร่าน้ำตาร่วงแทบไม่รู้ตัว
....
เกี่ยวกับผู้เขียน : นัตสึเมะ โซเซกิ เป็นนามปากกาของ นัตสึเมะ คินโนะสุเกะ นักเขียนชาวญี่ปุ่นในยุคเมจิ (1868-1912) ที่มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย ทั้งในประเทศญี่ปุ่นบ้านเกิดและประเทศอังกฤษ เกิดเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 1867 ที่เมืองบาบาชิตะ แคว้นอุชิโงเมะ (ปัจจุบันคือ เมืองคิคุอิในชิโกกุ)
...
โซเซกิเป็นลูกหลงที่เกิดออกมาลืมตาดูโลกก็เมื่อตอนที่มารดาของเขามีอายุมากแล้ว จึงไม่เป็นที่ต้องการของครอบครัวนัก ทั้งบิดาและมารดาของเขาจึงยกโซเซกิให้คนรับใช้ของครอบครัวชื่อชิโอะมาระ มาซาโนะสุเกะและภรรยาเป็นคนเลี้ยงดู
....
โซเซกิได้กลับเข้าสู่อ้อมอกของมารดาอีกครั้งเมื่อเขาอายุ 9 ปี แต่บิดาก็ยังคงดูเหมือนไม่ต้องการเขาเช่นเดิม เมื่อโซเซกิอายุได้ 14 ปี มารดาก็เสียชีวิต และในปี 1887 เขาก็ได้เสียพี่ชายไปอีกสองคน ทำให้เขาเกิดความรู้สึกขาดความมั่นคง และรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยในชีวิตของตนเองมากขึ้น
...
โซเซกิ ได้รับการศึกษาที่โรงเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นโตเกียว (ปัจจุบันคือ ฮิบิยะ ไฮสคูล) ที่นั่นทำให้โซเซกิได้รู้จักกับวรรณกรรมจีน ก่อให้เกิดเป็นความฝันที่จะเป็นนักเขียนในอนาคต หากแต่ครอบครัวของเขาไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง
โซเซกิ ได้รับการศึกษาที่โรงเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นโตเกียว (ปัจจุบันคือ ฮิบิยะ ไฮสคูล) ที่นั่นทำให้โซเซกิได้รู้จักกับวรรณกรรมจีน ก่อให้เกิดเป็นความฝันที่จะเป็นนักเขียนในอนาคต หากแต่ครอบครัวของเขาไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง
....
จากนั้น โซเซกิได้เข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยแห่งรัฐโตเกียว (ปัจจุบันคือ มหาวิทยาลัยโตเกียว) ในปี 1884 ด้วยความตั้งใจจะเป็นสถาปนิก โซเซกิเริ่มเรียนภาษาอังกฤษในช่วงนี้ เพราะ เขาคิดว่ามันจะช่วยส่งเสริมในเรื่องอาชีพการงานของเขาต่อไปในภายภาคหน้า
....
ในปี 1887 โซเซกิได้รู้จักกับมาซาโอกะ ชิกิ ผู้ที่มีส่วนสำคัญที่ทำให้เขาได้เดินเข้าสู่เส้นทางของนักเขียน ชิกิสอนให้โซเซกิได้รู้จักกับการประพันธ์โคลงไฮกุ การจุดนี้เองที่ทำให้โซเซกิได้เริ่มใช้นามปากกาในชื่อนี้ อันมีที่มาจากภาษาจีน มีความหมายว่า “ดื้อรั้น” ในผลงานทุกชิ้นของเขา
ในปี 1887 โซเซกิได้รู้จักกับมาซาโอกะ ชิกิ ผู้ที่มีส่วนสำคัญที่ทำให้เขาได้เดินเข้าสู่เส้นทางของนักเขียน ชิกิสอนให้โซเซกิได้รู้จักกับการประพันธ์โคลงไฮกุ การจุดนี้เองที่ทำให้โซเซกิได้เริ่มใช้นามปากกาในชื่อนี้ อันมีที่มาจากภาษาจีน มีความหมายว่า “ดื้อรั้น” ในผลงานทุกชิ้นของเขา
....
ปี 1890 โซเซกิเลือกศึกษาในสาขาวิชาวรรณคดีอังกฤษ ซึ่งมีโอกาสได้แสดงความสามารถออกมาได้ในเวลาอันรวดเร็ว และกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญแขนงนี้ในเวลาต่อมา โซเซกิสำเร็จการศึกษาในปี 1893 และได้รับเลือกให้เข้าไปเป็นอาจารย์สอนหนังสือที่วิทยาลัยครูโตเกียว
ปี 1890 โซเซกิเลือกศึกษาในสาขาวิชาวรรณคดีอังกฤษ ซึ่งมีโอกาสได้แสดงความสามารถออกมาได้ในเวลาอันรวดเร็ว และกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญแขนงนี้ในเวลาต่อมา โซเซกิสำเร็จการศึกษาในปี 1893 และได้รับเลือกให้เข้าไปเป็นอาจารย์สอนหนังสือที่วิทยาลัยครูโตเกียว
....
ปี 1985 โซเซกิรับราชการเป็นอาจารย์สอนที่โรงเรียนมัธยมตอนต้นมัตสึยาม่า ในชิโกกุ สถานที่สำคัญอันเป็นที่มาของฉากในนวนิยายเรื่อง Botchan (Master Darling) อันเลื่องชื่อของเขา ในระหว่างที่โซเซกิทำงานเป็นอาจารย์สอนอยู่นั้น เขามีผลงานตีพิมพ์ออกมาอย่างต่อเนื่องลงในหนังสือพิมพ์และวารสารต่างๆ ก่อนจะลาออกไปเป็นอาจารย์สอนที่วิทยาลัยครู ในคุมาโมโตะ ในปี 1896 เขาสมรสกับ นาคาเนะ เคียวโกะ ภรรยาของเขาในวันที่ 10 มิถุนายน ปีเดียวกันนั้นเอง
ปี 1985 โซเซกิรับราชการเป็นอาจารย์สอนที่โรงเรียนมัธยมตอนต้นมัตสึยาม่า ในชิโกกุ สถานที่สำคัญอันเป็นที่มาของฉากในนวนิยายเรื่อง Botchan (Master Darling) อันเลื่องชื่อของเขา ในระหว่างที่โซเซกิทำงานเป็นอาจารย์สอนอยู่นั้น เขามีผลงานตีพิมพ์ออกมาอย่างต่อเนื่องลงในหนังสือพิมพ์และวารสารต่างๆ ก่อนจะลาออกไปเป็นอาจารย์สอนที่วิทยาลัยครู ในคุมาโมโตะ ในปี 1896 เขาสมรสกับ นาคาเนะ เคียวโกะ ภรรยาของเขาในวันที่ 10 มิถุนายน ปีเดียวกันนั้นเอง
...
ในปี 1900 โซเซกิได้รับทุนจากรัฐบาลญี่ปุ่นให้ไปศึกษาต่อ ณ ประเทศอังกฤษ แต่เมื่อเขาไปถึงเคมบริดจ์ และพักที่นั่นเป็นหนึ่งคืน เขาก็ตัดสินใจเด็ดขาดที่จะไม่เข้าศึกษาในมหาวิทยาลัย เนื่องจากทุนที่ทางรัฐบาลสนับสนุนให้นั้นไม่เพียงพอ ชีวิตของโซเซกิที่อังกฤษลำบากเป็นอย่างมาก เขาใช้เวลาทั้งวันขลุกอยู่กับหนังสือ จนเพื่อนๆ พากันกลัวว่าเขาจะเป็นบ้า
ในปี 1900 โซเซกิได้รับทุนจากรัฐบาลญี่ปุ่นให้ไปศึกษาต่อ ณ ประเทศอังกฤษ แต่เมื่อเขาไปถึงเคมบริดจ์ และพักที่นั่นเป็นหนึ่งคืน เขาก็ตัดสินใจเด็ดขาดที่จะไม่เข้าศึกษาในมหาวิทยาลัย เนื่องจากทุนที่ทางรัฐบาลสนับสนุนให้นั้นไม่เพียงพอ ชีวิตของโซเซกิที่อังกฤษลำบากเป็นอย่างมาก เขาใช้เวลาทั้งวันขลุกอยู่กับหนังสือ จนเพื่อนๆ พากันกลัวว่าเขาจะเป็นบ้า
...
โซเซกิใช้ชีวิตอยู่อย่างนั้นนานถึงสองปี ทำให้ความรู้ด้านวรรณกรรมอังกฤษของเขาแตกฉานเป็นอย่างมาก ก่อนจะกลับสู่ประเทศญี่ปุ่นอันเป็นมาตุภูมิในปี 1903
...
5 ปีหลังจากนั้น โซเซกิได้เขียนคำนำลงในหนังสือวิจารณ์วรรณกรรม เกี่ยวกับช่วงชีวิตของเขาตอนที่อยู่อังกฤษไว้ว่า
5 ปีหลังจากนั้น โซเซกิได้เขียนคำนำลงในหนังสือวิจารณ์วรรณกรรม เกี่ยวกับช่วงชีวิตของเขาตอนที่อยู่อังกฤษไว้ว่า
...
“ช่วงเวลา 2 ปีที่ข้าพเจ้าได้ใช้ชีวิตอยู่ที่ลอนดอนนั้น เป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตของข้าพเจ้า ท่ามกลางสุภาพชนชาวอังกฤษ ข้าพเจ้ากลับใช้ชีวิตอย่างขมขื่น ดุจดั่งสุนัขจรจัดร่อนเร่อยู่ท่ามกลางฝูงสุนัขป่า”
โซเซกิเริ่มเส้นทางนักเขียนอย่างจริงจังในปี 1903 โดยการตีพิมพ์ผลงาน ไฮกุเร็นคุ, ไฮไทชิ เป็นต้น แต่ผลงานที่ประสบความสำเร็จ และสร้างชื่อ โซเซกิให้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางคือเรื่องสั้น Wagahai wa neko de aru (I am a Cat) ก่อนที่จะส่งเรื่องสั้นและนวนิยายอื่นๆ ตามมา
“ช่วงเวลา 2 ปีที่ข้าพเจ้าได้ใช้ชีวิตอยู่ที่ลอนดอนนั้น เป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตของข้าพเจ้า ท่ามกลางสุภาพชนชาวอังกฤษ ข้าพเจ้ากลับใช้ชีวิตอย่างขมขื่น ดุจดั่งสุนัขจรจัดร่อนเร่อยู่ท่ามกลางฝูงสุนัขป่า”
โซเซกิเริ่มเส้นทางนักเขียนอย่างจริงจังในปี 1903 โดยการตีพิมพ์ผลงาน ไฮกุเร็นคุ, ไฮไทชิ เป็นต้น แต่ผลงานที่ประสบความสำเร็จ และสร้างชื่อ โซเซกิให้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางคือเรื่องสั้น Wagahai wa neko de aru (I am a Cat) ก่อนที่จะส่งเรื่องสั้นและนวนิยายอื่นๆ ตามมา
....
เนื้อหาหลักในงานเขียนของโซเซกิจะเกี่ยวกับ การต่อสู้ของคนธรรมดาสามัญกับระบบเศรษฐกิจที่ตกต่ำ, ความขัดแย้งของหน้าที่กับความปรารถนา, ความภักดีและความเป็นกลุ่มก้อนกับความอิสระและเป็นตัวของตัวเอง, ความสันโดษกับความแปลกแยก, การพัฒนาอย่างรวดเร็วของอุตสาหกรรมในญี่ปุ่นกับผลต่อสังคมที่ตามมา, การรับเอาวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามาร่วมประสานกับวัฒนธรรมดั้งเดิมของชาติ, และการมองโลกในแง่ร้ายของมนุษย์
เมื่อโซเซกิตีพิมพ์ผลงาน London Tower ออกมาในปี 1905 ตามมาด้วยนวนิยาย Botchan และ Kasamakura ในปี 1906 ทำให้ชื่อเสียงของเขาโด่งดังมากพอที่จะทำให้เขาสามารถลาออกจากงานสอนหนังสือ เพื่อมาทำงานเขียนอย่างจริงจังลงในหนังสือพิมพ์ อาซาฮี ตั้งแต่ปี 1907 เรื่อยมาจนกระทั่งเสียชีวิตลงในปี 1916 ด้วยโรคกระเพาะอาหารอักเสบเรื้อรัง และในปี 1984-2004 รัฐบาลญี่ปุ่นได้ให้เกียรติพิมพ์ภาพของโซเซกิลงในธนบัตรใบละ 1,000 เยน
....
เกี่ยวกับผู้แปล : กันฐพงศ์ เจียวก๊ก เกิดวันที่ 22 กันยายน เป็นคนจังหวัดกระบี่ จบการศึกษาจาก คณะอักษรศาสตร์ เอกนาฏศาสตร์ (การละคร) มหาวิทยาลัยศิลปากร ปัจจุบันทำงานประจำเป็นกราฟิคดีไซเนอร์ให้กับนิตยสารแจกฟรีรายสัปดาห์ภาษาญี่ปุ่นฉบับหนึ่ง ส่วนชีวิตที่เหลือก็เข้ามาวนเวียนอยู่ในวงการขีดเขียนบ้าง วงการละครบ้าง วงการออกแบบบ้าง ตามวาระปะปนกันไป 坊っちゃん ต้นส้ม น้ำตา พายุ เล่มนี้เป็นผลงานแปลเล่มแรก
เนื้อหาหลักในงานเขียนของโซเซกิจะเกี่ยวกับ การต่อสู้ของคนธรรมดาสามัญกับระบบเศรษฐกิจที่ตกต่ำ, ความขัดแย้งของหน้าที่กับความปรารถนา, ความภักดีและความเป็นกลุ่มก้อนกับความอิสระและเป็นตัวของตัวเอง, ความสันโดษกับความแปลกแยก, การพัฒนาอย่างรวดเร็วของอุตสาหกรรมในญี่ปุ่นกับผลต่อสังคมที่ตามมา, การรับเอาวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามาร่วมประสานกับวัฒนธรรมดั้งเดิมของชาติ, และการมองโลกในแง่ร้ายของมนุษย์
เมื่อโซเซกิตีพิมพ์ผลงาน London Tower ออกมาในปี 1905 ตามมาด้วยนวนิยาย Botchan และ Kasamakura ในปี 1906 ทำให้ชื่อเสียงของเขาโด่งดังมากพอที่จะทำให้เขาสามารถลาออกจากงานสอนหนังสือ เพื่อมาทำงานเขียนอย่างจริงจังลงในหนังสือพิมพ์ อาซาฮี ตั้งแต่ปี 1907 เรื่อยมาจนกระทั่งเสียชีวิตลงในปี 1916 ด้วยโรคกระเพาะอาหารอักเสบเรื้อรัง และในปี 1984-2004 รัฐบาลญี่ปุ่นได้ให้เกียรติพิมพ์ภาพของโซเซกิลงในธนบัตรใบละ 1,000 เยน
....
เกี่ยวกับผู้แปล : กันฐพงศ์ เจียวก๊ก เกิดวันที่ 22 กันยายน เป็นคนจังหวัดกระบี่ จบการศึกษาจาก คณะอักษรศาสตร์ เอกนาฏศาสตร์ (การละคร) มหาวิทยาลัยศิลปากร ปัจจุบันทำงานประจำเป็นกราฟิคดีไซเนอร์ให้กับนิตยสารแจกฟรีรายสัปดาห์ภาษาญี่ปุ่นฉบับหนึ่ง ส่วนชีวิตที่เหลือก็เข้ามาวนเวียนอยู่ในวงการขีดเขียนบ้าง วงการละครบ้าง วงการออกแบบบ้าง ตามวาระปะปนกันไป 坊っちゃん ต้นส้ม น้ำตา พายุ เล่มนี้เป็นผลงานแปลเล่มแรก